โซเชียลระอุแซะด้อยค่า งานอุ้มพระดำน้ำ ก่อนทัวร์ลงหนัก ประธานสภาวัฒนธรรมเพชรบูรณ์ออกโรงปกป้อง
หลังจากที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำ ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสดราม่าขึ้น เมื่อมีบางคนแสดงความเห็นด้อยค่า ดูถูก งานประเพณีของเพชรบูรณ์ ผ่านเพจข่าวออนไลน์ ทำให้เกิดทัวร์จากชาวเพชรบูรณ์และผู้ที่เคารพศรัทธาต่อการจัดงานประเพณีที่มีมายาวนานเกือบ 500 ปีถล่มผู้ที่ได้โพสต์ด้อยค่าการจัดงานว่า “ไอ้คนที่แซะบ้านกูนะ ขอล่ะ มาทำความเข้าใจ มาศึกษาประวัติความเป็นมาของประเพณีบ้านกูก่อน ค่อยมาแซะ มันคงไม่หนักไปหรอกมั้ง กับแค่คำว่า หนึ่งเดียวในโลกเนี่ย ก็มีแค่บ้านกูที่ทำ บ้านมึงไม่ทำ ก็อย่ามาคอมเม้นท์เชิงลบ มันเหมือนพวกมีปม คิดต่างได้ แต่อย่ามาติดตลก คนเพชรบูรณ์ ไม่ขำ เห็นมาหลายคอมเม้นท์ อุ้มทำไม ใช้คำว่า 1 เดียวในโลก ได้เปลืองมาก ขอความกรุณา มาศึกษา หรือถ้าไม่ต้องการเปิดใจ ก็ไม่ต้องเสนอความคิดเห็น #save_งานอุ้มพระดำน้ำเพชรบูรณ์
“ภูมิใจที่จังหวัดเพชรบูรณ์มีประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมานานจากรุ่นสู่รุ่น หากใครไม่ทราบก็ควรศึกษานะคะ ไม่ใช่มาคอมเม้นแซะเอาสนุกปาก เพราะเรื่องประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น แฝงด้วยเรื่องราวหลายๆ อย่าง #ควรศึกษาก่อนแสดงความคิดเห็นค่ะ #จากใจคนเพชรบูรณ์ #รักเพชรบูรณ์ “
“ การศึกษา การเรียนรู้ การเปิดใจรับรู้สิ่งอะไรๆ ที่แปลกใหม่เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาชีวิต อยุ่นะ คอมเม้นท์อะไรก็ให้มีสติจ่ะ แต่ละท้องที่ แต่ละท้องถิ่น ล้วนมีประเพณีแตกต่างกัน มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกเราชาวเพชรบูรณ์มานานแสนนานค่ะ (เพชรบูรณ์บ้านชั้น)
“ ผมเป็นคนโคราช แต่มาทำงานอยู่เพชรบูรณ์ได้ 10 ปี รักที่นี่เหมือนบ้าน ผมเข้าร่วมพิธีอุ้มพระดำน้ำหลายครั้งแล้ว พระพุทธรูปในพิธีนั้นชาวเพชรบูรณ์ล้วนเคารพบูชา และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ อยากให้คอมเม้นต์ในเชิงบวก หรือเชิงสร้างสรรค์ แต่ละที่มีประเพณีที่ดีงามแตกต่างกัน ควรชื่นชม ไม่ควรไปด้อยค่าประเพณีใดๆ และไม่ควรแสดงความเขลาเพื่อกดตัวเองให้ดูต่ำลงครับ และอื่นๆ อีกมายมาย”
ทางด้าน ดร.วิศัลย์ โฆษิตานนท์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนการจัดงานมาอย่างยาวนาน ได้โพสต์ข้อความตอบคนที่มาคอมเมนต์แซะประเพณีอุ้มพระดำน้ำของคนเพชรบูรณ์ ดังนี้ .ทุกงานประเพณี ทุกกิจกรรมทางวัฒนธรรม ล้วนแต่มีภูมิปัญญาของบรรพชนที่ต้องการจะสั่งสอนลูกหลานฝากไว้ประเพณีและพิธีกรรม เพื่อไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลาประเพณีอุ้มพระดำน้ำก็เช่นเดียวกัน ก็มีภูมิปัญญาอันเป็นสิ่งดีงามในสังคม ที่บรรพชนเพชรบูรณ์นำมาแฝงอยู่อย่างชาญฉลาดในพิธีกรรมของประเพณี 4 ประการ คือ
1.ด้านการรักษาคุณภาพแม่น้ำป่าสักและสิ่งแวดล้อม“การที่เจ้าเมืองอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แห่รอบเมืองและอัญเชิญไปประกอบพิธีทางน้ำ เจ้าเมือง ข้าราชการและประชาชนเอง ก็ต้องช่วยกันดูแลบ้านเมืองให้มีระเบียบเรียบร้อย และการที่เจ้าเมืองจะต้องลงไปดำน้ำในลำน้ำด้วยตัวเอง ก็เป็นกุศโลบายที่จะทำให้เจ้าเมืองจะต้องรักษาคุณภาพน้ำในลำน้ำสักให้สะอาด และยังต้องดูแลให้ประชาชนช่วยกันรักษาแม่น้ำป่าสัก นอกจากนั้น เมื่อองค์พระศักดิ์สิทธิ์ลงไปในแม่น้ำแล้ว ชาวบ้านก็ถือว่าน้ำในแม่น้ำได้เป็นน้ำพระพุทธมนต์ไปด้วย ทุกคนจึงต้องยำเกรง และไม่ลบหลู่ต่อแม่น้ำ นั่นคือต้องไม่ทำให้แม่น้ำสกปรก มิฉะนั้นจะเป็นบาป เท่ากับว่า ทั้งเจ้าเมืองและชาวบ้านต่างก็มีหน้าที่ที่จะต้องรักษาความสะอาดและคุณภาพของแม่น้ำป่าสักและบ้านเมือง
2.ด้านการสร้างขวัญกำลังใจในการทำมาหากิน “ชาวเพชรบูรณ์มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับแม่น้ำป่าสัก จึงปรารถนาที่จะให้ปริมาณน้ำในลำน้ำมีความสมดุลพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ที่ไม่สามารถจะควบคุมธรรมชาติได้ จึงได้อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในบ้านเมือง คือ พระพุทธมหาธรรมราชา ให้มาดลบันดาลควบคุมระดับน้ำในลำน้ำ โดยพิธีกรรมจะกำหนดให้เจ้าเมืองจะอุ้มพระดำน้ำเพียงแค่ 2 ทิศเท่านั้น คือทิศทวนน้ำ และทิศตามน้ำ หากปีใดน้ำน้อยก็จะหันหน้าดำน้ำหันหน้าทางทิศเหนือก่อน เพื่อให้น้ำมีปริมาณมากขึ้นเพียงพอแก่การทำมาหากิน และหากปีใดน้ำมาก ก็จะดำน้ำหันหน้าทางทิศใต้ก่อน เพื่อให้น้ำลดน้อยลงมาไม่ให้เกิดความเสียหายแก่การทำมาหากิน นอกจากนั้น ทุกคำอธิษฐานของการดำน้ำแต่ละครั้ง ก็ล้วนแต่เป็นถ้อยคำที่เป็นมงคลแก่การทำมาหากินของชาวเพชรบูรณ์ทั้งสิ้น”
3.ด้านการทำให้ผู้คนมีจุดรวมใจและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน “เป็นประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของคนเพชรบูรณ์ที่ใคร ๆ ก็ยึดมั่นร่วมศรัทธาร่วมปฏิบัติร่วมกัน และศูนย์กลางของกิจกรรมประจำเมืองที่ทุกคนอยากมาร่วมงาน โดยผู้ที่ร่วมงานนี้ต่างมาด้วยใจเพราะเชื่อว่า หลังการมีส่วนร่วมในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จะเกิดความสิริมงคลขึ้นในชีวิตและหน้าที่การงาน อีกทั้งการกำหนดให้มีกรมการเมืองฝ่ายต่าง ๆ ทั้งเวียง วัง คลัง นา ร่วมดำน้ำกับเจ้าเมือง โดยให้ทาง เวียง วัง เป็นฝ่ายข้าราชการ ส่วน คลัง นา นั้นเป็นฝ่ายประชาชน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า การทำนุบำรุงพัฒนาบ้านเมือง เจ้าเมืองจะต้องอาศัยความร่วมมือจากฝ่ายต่าง ๆ ทั้งราชการและประชาชนด้วยความร่วมแรงร่วมใจกัน”
4.ด้านการทำให้ผู้คนใกล้ชิดธรรมะและพระพุทธศาสนา “พระพุทธมหาธรรมราชาเป็นองค์ประธานในพิธีกรรมทุกขึ้นตอน อันจะทำให้ผู้คนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา จึงเป็นการเน้นย้ำให้คนเพชรบูรณ์ตระหนักว่า เรามีพระประจำเมือง เราจึงต้องมีธรรมะประจำใจ เราต้องนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาเป็นหลักชัยในการดำเนินชีวิต ส่งผลให้เกิดความละอายและเกรงกลัวต่อการทำบาป นอกจากนั้น ทุกคนต่างเชื่อว่า หลังจากประกอบพิธีแล้ว น้ำในแม่น้ำป่าสักจะกลายเป็นน้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์และจะพากันตักใส่ภาชนะที่จัดเตรียมมานำกลับบ้านไปไว้เพื่อเป็นสิริมงคล ในขณะที่ข้าวของเครื่องบูชาและเครื่องเซ่นสังเวยในพิธีกรรมก็จะถูกประชาชนที่มาร่วมพิธีกรรมนำกลับไปจนหมดสิ้น สิ่งเหล่านี้หมายถึงความศรัทธาที่เปี่ยมล้นต่อพิธีกรรมและองค์พระพุทธมหาธรรมราชา”
>> ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จึงได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ