สช.ผนึก TCELS ถอดบทเรียน ‘โควิด-19’ จัดทำ ‘คู่มือเฝ้าระวังภัยฉุกเฉิน’ รับมือวิกฤตสุขภาพระลอกใหม่
สช.ผนึก TCELS จับมือภาคีเครือข่ายกว่า 600 คน ร่วมเวทีถอดบทเรียนการฝ่าฟันวิกฤตสุขภาพจากการระบาดโควิด-19 ภายใต้นวัตกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นจากหลายพื้นที่ วางเป้าสังเคราะห์สู่การออกแบบคู่มือ แนวทางวางแผน-รับมือภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ภายใต้ “ชุมชน” เป็นฐานสำคัญ
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS และภาคีเครือข่าย จัดเวทีสาธารณะ “ฝ่าวิกฤตสุขภาพจากปฏิบัติการระดับพื้นที่สู่นโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม” เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2566 เพื่อเป็นการนำเสนอนวัตกรรมที่ริเริ่มจากสถานการณ์โควิด-19 สู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นชุมชนเป็นฐานสำคัญ
สำหรับเวทีสาธารณะในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้ “โครงการพัฒนาขีดความสามารถด้านสาธารณสุขรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน: การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชนในการเตรียมความพร้อมและรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข” ที่ สช. และ TCELS ร่วมกันทบทวน สังเคราะห์แนวคิด และองค์ความรู้ สู่การพัฒนาชุมชนต้นแบบที่มีการนำนวัตกรรมทางสังคม มาเพิ่มขีดความสามารถเฝ้าระวังและรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ อันเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานภายใต้โปรแกรมการยุติโรคระบาดด้วยนวัตกรรม หรือ Ending Pandemics through Innovation (EPI)
นพ. ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ระบบสุขภาพของประเทศไทยที่ทั่วโลกให้การยอมรับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่ง เกิดขึ้นจากพัฒนาการที่มีมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การเกิดระบบสาธารณสุข ตามมาด้วยการให้สิทธิสวัสดิการแก่ผู้คนในกลุ่มต่างๆ เรื่อยมาตั้งแต่การสงเคราะห์ผู้ยากไร้ สวัสดิการข้าราชการ สิทธิประกันสังคม จนกระทั่งเมื่อประเทศเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ผู้คนมีปัญหาการเข้าไม่ถึงระบบสุขภาพ จึงเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอีกอย่างน้อย 2 สิ่งตามมา คือ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) กับการสนับสนุนภาคประชาสังคมที่มีความตื่นตัวขึ้นทั่วประเทศ
นพ.ประทีป กล่าวว่า จากรากฐานของระบบบัตรทอง ที่ช่วยดูแลประชาชนกว่า 47 ล้านคนไม่ให้ล้มละลายจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และระบบของภาคประชาสังคมที่เติบโตขึ้นมาก ทำให้เมื่อประเทศไทยเจอกับวิกฤตใหญ่ครั้งถัดมาในปี 2563 นั่นคือการระบาดของโควิด-19 เราจึงฝ่าฟันและผ่านพ้นมาได้ด้วยรากฐานและพัฒนาการที่สำคัญเหล่านี้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่เรารู้จักกันดี อย่างสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ที่ขับเคลื่อนภายใต้การตัดสินใจทางการเมือง การสร้างความรู้ และการเคลื่อนไหวของสังคม รวมเข้าด้วยกัน
นพ.ประทีป ยังกล่าวอีกว่า หนึ่งในกลไกการสนับสนุนภาคประชาสังคม คือการสานพลังความร่วมมือจากฐานรากในการพัฒนานโยบายสาธารณะ หรือเครื่องมือสร้างสุขภาวะของ สช. ภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ไม่ว่าจะเป็นสมัชชาสุขภาพ ธรรมนูญสุขภาพ การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และยังไม่นับรวมถึงต้นทุนในชุมชนของหน่วยงานภาคีต่างๆ ทั้งวิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้าน กองทุนสวัสดิการชุมชน กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น ทั้งหมดถูกบูรณาการเข้ามารับมือกับการระบาดในครั้งนี้
“ทั้งหมดทำให้การรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ กลายเป็นการต่อยอดจากระบบที่มี และยังเกิดเป็นนวัตกรรม การบริหารจัดการใหม่ๆ ขึ้นมาในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด มีตัวอย่างชุมชนที่ลุกขึ้นมารวมตัวจัดทำมาตรการตนเอง หนุนเสริมมาตรการจากภาครัฐ ฉะนั้นขณะนี้เราจึงต้องการนำเอาองค์ความรู้ทั้งหมดที่ได้จากการดำเนินการ มาร่วมกันวิเคราะห์ สังเคราะห์ และถอดบทเรียน เพื่อเอาไปใช้รับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป” นพ.ประทีป กล่าว
นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท หัวหน้าทีมวิชาการในโครงการพัฒนาขีดความสามารถด้านสาธารณสุขรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน กล่าวว่า แม้ขณะนี้วิกฤตโควิด-19 อาจยังไม่หมดไป แต่อย่างน้อยเราจะมาร่วมกันสรุปบทเรียนที่เป็นรูปธรรม เพราะแนวคิดสำคัญที่จะยุติการระบาด อาจไม่ได้แปลว่าการทำให้โรคหายไป แต่เราจะยุติความตื่นกลัว ความสูญเสียโดยที่ไม่จำเป็น หรือความขัดแย้งต่างๆ มาทำให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยถอดบทเรียนจากนวัตกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้น อันจะนำไปสู่การออกแบบนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหานั้น
“วันหนึ่งโควิด-19 จะค่อยๆ คลี่คลายไป แต่มันก็จะมีวิกฤตใหม่เข้ามา เช่น ฝุ่นควัน มลพิษ หรืออื่นๆ ที่จะตามมาอีกอย่างแน่นอน ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้จากโควิดและถอดบทเรียนเพื่อทบทวน จึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เห็นว่าตอนนั้นเราเผชิญกับอะไร ทำอะไร เปลี่ยนความเศร้าจากการสูญเสีย ความรู้สึกผิด มาเป็นพลังในการพัฒนา ทบทวนเพื่อค้นหาว่าเราจะต่อยอดสิ่งต่างๆ อย่างไร สู่นโยบายสาธารณะที่จะช่วยให้เรารับมือกับวิกฤตลักษณะนี้ได้ดียิ่งขึ้น” นพ.วิรุฬ กล่าว
สำหรับเวทีสาธารณะในครั้งนี้ ได้มีการแบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมทั้ง onsite และ online กว่า 600 คน เพื่อสรุปบทเรียนออกเป็น 5 ประเด็นย่อย ประกอบด้วย 1. กระบวนการสร้างนวัตกรรมชุมชนในการเฝ้าระวังและรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ 2. สถานประกอบการกับการรับมือโรคอุบัติใหม่ 3. บทบาทของ อปท. กับการรับมือภาวะวิกฤตสุขภาพ 4. การสร้างความเป็นกลไกกัลยาณมิตรในกลไกสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคประชาสังคมในการจัดการภาวะวิกฤต และ 5. มุมมองวิชาการต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนต่อความมั่นคงด้านสุขภาพของประเทศ
ขณะที่ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานกรรมการบริหารคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ปาฐกถาพิเศษ “ชุมชนเข้มแข็งกับการรับมือวิกฤตสุขภาพ” ตอนหนึ่งว่า ปัจจัยความสำเร็จของการควบคุมการระบาดโควิด-19 ในไทย ส่วนหนึ่งมีที่มาจากการพัฒนาระบบงานระบาดวิทยา ที่มีมานับตั้งแต่ปี 2504 มาสู่การบัญญัติเป็นสิทธิไว้ในรัฐธรรมนูญ เรื่อยมาถึงนโยบายการสร้างโรงพยาบาลทุกอำเภอ สถานีอนามัยทุกตำบล การพัฒนาระบบอาสาสมัครตามแนวทางสาธารณสุขมูลฐาน ไปจนถึงการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นที่เข้มแข็งมากขึ้น และการพัฒนาระบบบัตรทองที่มีเรื่อยมา เป็นต้น
นพ.วิชัย ระบุว่า ความเข้มแข็งของชุมชนสาธารณสุขจึงทำให้ไทยเป็น “ม้าตีนต้น” ที่ควบคุมการระบาดในระลอกแรกได้อย่างประสบผลสำเร็จ อย่างไรก็ตามในการระบาดระลอก 2 ที่ จ.สมุทรสาคร และระลอก 3 ที่ตามมาจากสถานบันเทิงและบ่อน จนกลายเป็นการระบาดใหญ่ทั่วประเทศนั้น มีที่มาจากความความอ่อนแอของระบบการเมืองการปกครอง โดยกลไกหลักของรัฐไม่สามารถควบคุมโรคเอาไว้ได้ แต่ขณะเดียวกันชุมชนก็ได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการบรรเทาปัญหาไปได้มาก
นพ.วิชัย ยังสรุปด้วยว่า สิ่งที่ต้องรักษาเอาไว้หลังจากนี้ คือความเข้มแข็งของ “ชุมชนสาธารณสุข” และสิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มคือ “ชุมชนภาคประชาชน” ให้พัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบในทุกระดับ ทั้งตัวบุคคล องค์กร เครือข่าย และระบบนิเวศ อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะต้องพัฒนาเป็นอย่างมาก นั่นคือกลไกการเมืองการปกครองของไทยที่ต้องทำให้เข้มแข็งมากขึ้น ด้วยกลไกของ “หีบบัตรเลือกตั้ง” และ “ศาลที่ยุติธรรม”
ด้าน นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ผลลัพธ์จากการถอดบทเรียนเหล่านี้จะกลายเป็น “คู่มือการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและตอบสนองต่อสภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขโดยชุมชนมีส่วนร่วม” หรือไกด์ไลน์ที่ชุมชนอื่นๆ จะสามารถนำบทเรียนเรียนไปขยายและต่อยอด เป็นรูปแบบ วิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อรับมือภาวะฉุกเฉินไม่ว่าจะเป็นในด้านสุขภาพ ภัยพิบัติ หรือด้านอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
“อีกส่วนที่เรายังจะพัฒนาต่อ คือคู่มือหรือแนวปฏิบัติของท้องถิ่นในการสนับสนุนชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง บนเป้าหมายปลายทางคือการเตรียมความพร้อมรับมือกับภาวะฉุกเฉินในอนาคต แม้วันนี้จะยังไม่เกิดก็ไม่เป็นไร แต่เพื่อจะให้มั่นใจได้ว่าต่อไปเมื่อเกิดเหตุแล้ว เราจะไปได้เร็วกว่าเดิม มั่นคงกว่าเดิม เสียหายน้อยกว่าเดิม” นพ.ปรีดา กล่าว